Last updated: 19 พ.ย. 2568 | 54 จำนวนผู้เข้าชม |
จาก “คำถามเล็กๆ” ที่จุดประกายความสงสัยตั้งแต่วันแรกที่เธอก้าวเข้าสู่สายวิทยาศาสตร์ คำถามที่ว่า “เราจะสร้างงานวิจัยที่เปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริงหรือ?” กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอมุ่งมั่นทำงานอย่างไม่ย่อท้อท่ามกลางอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่ข้อจำกัดด้านทรัพยากร การทดลองที่ไม่เป็นไปตามคาด ไปจนถึงช่วงเวลาที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในแวดวงวิจัยที่มีการแข่งขันสูง แต่ทุกปัญหากลายเป็น “บันได” ให้เธอก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ เมื่อผลงานของเธอสามารถสร้างผลกระทบเชิงสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็น“ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” และ “การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” การพัฒนานวัตกรรมชีวภาพ หรือเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาระดับประเทศ ทำให้เธอได้รับการยอมรับจนคว้ารางวัลเกียรติยศด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดรางวัลหนึ่งของไทย

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช่เพียงผลงานวิจัย แต่คือ “ทัศนคติ” ที่ตอกย้ำอุดมการณ์ สวทช. ที่มุ่งสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนางานวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศสู่ความยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)

นักวิจัยผู้เปลี่ยนความสิ้นหวังให้กลายเป็นความหวังใหม่ของอุตสาหกรรมสุกรไทย เจ้าของผลงานวิจัยที่ถูกจับตามองว่าอาจเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการพลิกเกมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร(ASF)ที่เขย่าวงการสุกรไทย ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขวิทยาศาสตร์ชีวภาพ เป็นนักวิจัยไทยเพียงไม่กี่คนที่ลุกขึ้นสู้กับปัญหาระดับชาติอย่างไม่ถอยผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อปกป้องเกษตรกรไทยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ.
จุดเริ่มของ “วัคซีน ASF สายพันธุ์ไทย” ความหวังคืนชีพฟาร์มสุกรไทย

ท่ามกลางวิกฤต เมื่อโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ระบาดหนัก สร้างความเสียหายกว่า 1.5 แสนล้านบาท เกษตรกรรายเล็กจำนวนมากต้องปิดฟาร์ม สูญเสียอาชีพ และแทบหมดหวังกลับมาเลี้ยงสุกรอีกครั้งนี่คือโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทย “ไม่มีองค์ความรู้ตั้งต้นเลย”
ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. คือกลุ่มแรก ๆ ที่ลุกขึ้นเดินหน้าสร้าง องค์ความรู้ไวรัส ASF แบบศูนย์ถึงหนึ่ง ที่ช่วยแก้ไขปัญหาโรคระบาด ASF ได้ และนั่นคือโจทย์เร่งด่วน สู่การพัฒนา วัคซีนต้นแบบที่มีประสิทธิภาพเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์จากไวรัสสายพันธุ์ไทยตัวแรก หนึ่งในแผนงานพัฒนาวัคซีนสัตว์ ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand ของ สวทช. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยแก้ปัญหาสำคัญของชาติ และตอบโจทย์มิติการพึ่งพาตนเอง จากผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการชี้ว่ามีประสิทธิผล 70–100% และมีความปลอดภัยสูงเป็นก้าวสำคัญก่อนทดสอบในฟาร์ม
ด้วย แรงผลักดันสำคัญของเธอคือ “เกษตรกรไทยที่ไม่เคยหมดหวัง”

ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา และทีมวิจัยจึงเร่งศึกษาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัส ASF เทคโนโลยี จนถึงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบ โดยอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนกระทั่งพัฒนา “วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” จาก “ไวรัสสายพันธุ์ไทย” ได้สำเร็จ รวมทั้งมีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน
“แรงบันดาลใจที่ผลักดันเธอ คือ “เกษตรกรไทย” ที่แม้จะสูญเสียทุกอย่างจากโรค ASF แต่ยังมีความหวังว่าจะได้กลับมาเลี้ยงสุกรอีกครั้ง เธอเชื่อว่าหากวัคซีนนี้ช่วยให้ฟาร์มเล็ก ๆ คืนอาชีพ คืนรายได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของงานวิจัย และอุปสรรคไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หยุด แต่เป็นบทเรียนที่ทำให้เติบโต ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นข้อมูลที่พาเธอเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นอีกหนึ่งก้าว ความทุ่มเทของเธอสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังก้าวผ่านยุคใหม่ของการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ ยุคที่ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาเชิงระบบกลายเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน“
วันนี้ ความสำเร็จของเธอไม่เพียงได้รับการยอมรับในฐานะนักวิจัยหญิงผู้มีศักยภาพ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เห็นว่าการทำวิทยาศาสตร์ในไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัว และยังเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ
ผลงานนี้ไม่เพียงกู้ฟาร์มสุกร แต่ยังสร้างความมั่นคงทางอาหาร ลดการพึ่งพาวัคซีนต่างประเทศ กระตุ้นให้เกิดการลงทุนทางธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะทำให้ทีมวิจัยสามารถต่อยอดจากระดับห้องปฏิบัติการสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรมได้ เป็นความหวังที่สามารถยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์ และยังวางรากฐานวิทยาศาสตร์ไทยสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนสัตว์ได้ในอนาคตสามารถแข่งขันในภูมิภาคได้
อีกหนึ่งผลงานวิจัยที่เป็นก้าวใหม่ของการรักษา อนุภาคนาโนส่งยาแบบมุ่งเป้า ความหวังใหม่สู้โรคเรื้อรัง ของ ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ผู้ผลักดันงานวิจัยนาโนเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

ผู้ป่วยจำนวนมากต้องกินยาเยอะจนกระทบชีวิตประจำวัน บางคนต้องทนผลข้างเคียงจากยา โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่ต้องให้คีโม ดร.มัตถกา เห็นปัญหานี้มาตั้งแต่สมัยทำงานวิจัยใหม่ ๆ และตั้งคำถามว่า
“ถ้าเราส่งยาได้ตรงจุดมากขึ้น จะช่วยลดการทรมานของผู้ป่วยได้ไหม?”
นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำงานอย่างต่อเนืองกว่า 10 ปี ในการพัฒนา อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)” โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้น ๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี” เพื่อใช้กักเก็บและนำส่งยาอย่างจำเพาะเจาะจง ลดผลข้างเคียง เพิ่มการดูดซึม และช่วยให้ผู้ป่วยใช้ยาน้อยลงแต่ได้ผลมากขึ้น เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบให้รองรับโรคหลากหลาย ทั้งมะเร็ง ภาวะอักเสบเรื้อรัง เบาหวาน โรคหัวใจ ไปจนถึงงานด้านชะลอวัย โดยมีการทดสอบในระดับพรีคลินิกแล้วและเตรียมก้าวสู่การทดสอบทางคลินิก ซึ่งเป็นความหวังสำคัญที่อาจนำไปสู่ผลิตภัณฑ์รักษาและป้องกันโรคของคนไทยภายใน 3–5 ปี

“ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ชีวิตของคนไข้ดีขึ้น “
นี่คือโจทย์และแรงบันดาลใจของเธอ ที่อยากเห็นงานวิจัยไปถึงมือประชาชน และทำให้คนไทยสุขภาพดีขึ้นอย่างแท้จริง
งานวิจัยยาวนานที่ต้องใช้ ‘ความเชื่อมั่น’ งานด้านนาโนต้องการความละเอียดสูง ทุกขั้นตอนคือการทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก ต้องออกแบบอนุภาคนาโนหลายรุ่นกว่าจะได้ตัวที่เสถียร เข้าถึงเซลล์เป้าหมายได้จริง เมื่อความตั้งใจอยากให้คนไทยสุขภาพดี ในสังคมผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว การรักษาที่แม่นยำ ปลอดภัย และลดผลข้างเคียงจึงเป็นโจทย์เร่งด่วนของโลกยุคปัจจุบัน กลายเป็นพลังสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ของสังคมไทย โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชาชน และยังสร้างภาระค่าใช้จ่ายในการรักษามหาศาล
ผลงานนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังสร้าง “รากฐานใหม่เพื่ออนาคตรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นของประเทศและการพัฒนาอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางคุณภาพสูงได้เอง สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และการเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัยอย่างยั่งยืน”

หนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จคือการใช้อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บสารสกัดกระชายดำ ช่วยเพิ่มการดูดซึมและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์สำเร็จ นำไปสู่การต่อยอดภายใต้แพลตฟอร์ม PhytoEX ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ สวทช. ในการขับเคลื่อนงานวิจัยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติในมิติเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างแท้จริง

ดร.มัตถกา ยังเดินหน้าต่อยอดงานในกลุ่มโรคติดเชื้อดื้อยา พร้อมตั้งเป้าสูงสุดคือ การพัฒนานวัตกรรมสุขภาพที่คนไทยเข้าถึงได้ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกวัยอย่างยั่งยืน “อนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิว” เทคโนโลยีขนส่งยารุ่นใหม่ที่สามารถพายาไปยัง “จุดที่ต้องรักษา” ได้โดยเฉพาะ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ลดผลข้างเคียง และเปิดความเป็นไปได้สำหรับโรคยากอย่างมะเร็ง เบาหวาน หรือโรคสมองเสื่อมและยังต้องเจรจากับอุตสาหกรรมเพื่อนำผลงานไปสู่เชิงพาณิชย์ให้สำเร็จ
ทั้งสองผลงาน คือภาพแทนของนักวิจัยหญิงไทยที่ใช้วิทยาศาสตร์ “เปลี่ยนความหวังให้เป็นจริง”
รางวัลที่ทั้งสองได้รับไม่ใช่เพียงการยกย่องผลงานวิทยาศาสตร์ แต่สะท้อนหัวใจของนักวิจัยหญิงไทยที่ทุ่มเทเพื่อ “ชีวิตของผู้คน” ไม่ว่าจะเป็นการช่วยฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรไทยให้กลับมาเลี้ยงสุกร หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่หวังให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ทั้งสองผลงานยังเป็นตัวอย่างของการใช้วิทยาศาสตร์พัฒนาประเทศในสองด้านสำคัญ ความมั่นคงทางอาหาร และสุขภาพประชาชนซึ่งล้วนสอดคล้องกับเป้าหมายการสร้างความยั่งยืนของไทย ผลงานของพวกเธอจึงไม่ใช่แค่ “งานวิจัย” แต่คือ “ความหวัง” ของคนไทยหลายล้านคนและทำให้ทั้งสองได้รับการยกย่องจากลอรีอัลในปีนี้อย่างสมศักดิ์ศรีซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ ลอรีอัล ประเทศไทย ที่ตอกย้ำความเชื่อว่า “โลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี” ด้วยการมอบรางวัล For Women in Science 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 เพื่อเชิดชูนักวิทยาศาสตร์หญิงไทยที่มุ่งมั่นพัฒนางานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ
คุณสิตานัน สิทธิกิจ ผู้จัดการกิจกรรมเพื่อสังคมและสื่อสารสัมพันธ์ กล่าวว่า รางวัลนี้ไม่ได้เป็นเพียงทุนสนับสนุนงานวิจัย แต่คือ “การลงทุนในอนาคตของประเทศ” ผ่านพลังของนักวิจัยสตรี โดยคัดเลือกอย่างเข้มงวดจากผลกระทบเชิงสังคม ความถูกต้องตามหลักวิชาการ จริยธรรมการวิจัย และการยอมรับในระดับนานาชาติ รวมถึงดัชนี H-index
การได้รับรางวัลของนักวิจัยหญิง สวทช. ทั้งสองท่าน สะท้อนคุณภาพงานวิจัยที่สร้างประโยชน์จริง ตั้งแต่วัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่ช่วยเสริมความมั่นคงภาคปศุสัตว์ ไปจนถึงเทคโนโลยีนาโนเพื่อยกระดับการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รางวัลนี้จึงเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์หญิงไทยเดินหน้าสร้างสรรค์งานเพื่อสังคมอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้วิสัยทัศน์ “วิทยาศาสตร์เพื่อมนุษยชาติ” ของลอรีอัล กรุ๊ป.