Last updated: 8 พ.ย. 2568 | 77 จำนวนผู้เข้าชม |
ทุ่งนาสีทองและคันไถอันคุ้นตา ยังคงสะท้อนรากเหง้าการทำนาของไทยที่สืบทอดมายาวนาน แต่ในยุคใหม่ “วิทยาศาสตร์” ได้เข้ามาเติมพลังให้ภูมิปัญญาเดิมก้าวไกลยิ่งขึ้น นักวิจัยไทยสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ “ทนแล้ง ทนโรค” และให้ผลผลิตสูงถึง 2 ตันต่อไร่ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ ล่าสุด ประเทศไทยยังเดินหน้าวิจัย “ข้าวคาร์บอนต่ำ” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอผ่านงาน Rice Field Day 2025 ปีที่ 2 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม สวทช. ผ่านศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) โดยนำเสนอพันธุ์ข้าวนวัตกรรมที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับวิกฤติภูมิอากาศ อีกก้าวสำคัญของการขับเคลื่อน “เกษตรไทยสู่ความยั่งยืน” อย่างแท้จริง

การปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ถือเป็นไฮไลต์ของงานคือ “ข้าวพันธุ์นวัตกรรมผลผลิตสูง 1.5–2 ตันต่อไร่” มีอายุเก็บเกี่ยวเพียง 90–100 วัน ต้านทานโรคและแมลง ทนแล้ง–ทนน้ำท่วม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่พัฒนาสำเร็จแล้วกว่า 7 สายพันธุ์ และอยู่ระหว่างการขอรับรองเพิ่มเติมอีก 3 สายพันธุ์ อาทิ “หอมสยาม”, “หอมชลสิทธิ์ 2”, “พันธุ์ไบโอเทค 1” และ “ไรซ์เบอรี่ 2” ที่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะกับการเพาะปลูกในสภาพอากาศสุดขั้วของไทย
เทคโนโลยี MAS พลิกเกมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทย

ดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “ตลอดกว่า 25 ปีของความร่วมมือระหว่าง มก. และไบโอเทค สวทช. เรานำเทคโนโลยีคัดเลือกพันธุ์ด้วยเครื่องหมายโมเลกุล หรือ MAS (Marker-Assisted Selection) มาปรับใช้จนเกิดพันธุ์ข้าวใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรค ทนสภาพแวดล้อม และยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอน การนำความรู้นี้ไปใช้จริงจะช่วยให้เกษตรกรไทยเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในยุควิกฤติภูมิอากาศ”
ในปัจจุบันเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ไม่ได้จำกัดแค่การคัดเลือกสายพันธุ์แบบเดิม แต่ขยายไปสู่ การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ (precision breeding) ที่ผสมผสานจีโนมิกส์และข้อมูลภาคสนามเพื่อเลือกลักษณะที่ต้องการเร็วขึ้น. การใช้เทคนิคตัดต่อจีโนมอย่าง CRISPR/Cas9 ในงานวิจัยเพื่อปรับเพิ่มความทนทานต่อโรคและความเครียดจากสิ่งแวดล้อม มีผลงานวิชาการและตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในไทย สิ่งนี้หมายความว่า “พันธุ์ข้าว” ใหม่ ๆ อาจมีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น ข้าวที่ให้วิตามินหรือแร่ธาตุมากขึ้น ทนแล้งได้ดี หรือมีเมล็ดสวยเหมาะทำข้าวพรีเมียม ทั้งหมดสามารถพัฒนาได้เร็วขึ้นและตรงเป้ากว่าเดิม ดร.ดำรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับการพัฒนา “ข้าวคาร์บอนต่ำ” ด้วยนวัตกรรมชีวภาพ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์ไบโอเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า “เป้าหมายของงานนี้คือการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกลไกขับเคลื่อนภาคเกษตรไทย ข้าวพันธุ์ใหม่ที่เราพัฒนาไม่เพียงให้ผลผลิตสูง แต่ยังมีรอบปลูกสั้น ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นพันธุ์คาร์บอนต่ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้ไทยพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน”

ภายในงานมีการสาธิตเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแบบแม่นยำ การแสดงแปลงนาสาธิตพันธุ์ข้าวผลผลิตสูง พร้อมบรรยายทางวิชาการ 3 หัวข้อสำคัญ ได้แก่
“Breeding Beyond Boundaries” โดย ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร ม.เกษตรศาสตร์ ชี้ว่า “นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทย” ยังเผชิญข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากรรุ่นใหม่ และกฎหมายที่ยังไม่เปิดให้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง GMO หรือ Gene Editing (เช่น CRISPR) ได้เต็มที่ ทำให้การพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ยังไม่ก้าวกระโดดเท่าประเทศคู่แข่งอย่าง จีน ญี่ปุ่น หรือเวียดนาม การขึ้นทะเบียนพันธุ์ข้าวใหม่ มีขั้นตอนมากและใช้เวลานาน ส่งผลให้การต่อยอดเชิงพาณิชย์ล่าช้า การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ ส่งผลให้การพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ใช้เวลานานและแข่งขันยากในตลาดโลก อีกทั้งเกษตรกรยังนิยมปลูกพันธุ์เดิมที่ตลาดคุ้นเคย จึงเสนอให้รัฐเร่งสนับสนุนนโยบายวิจัยและเปิดทางเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อยกระดับข้าวไทยสู่ตลาดโลก

อีกหนึ่งหัวข้อที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การบรรยายของดร.ธีระ ภัทราพรนันท์ นักวิจัยเนคเทค สวทช. ในหัวข้อ “AI กับการพัฒนาข้าวยุคใหม่” โดย กล่าวถึงบทบาทของ AI ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ตั้งแต่การวิเคราะห์พันธุกรรม คัดเลือกสายพันธุ์ ไปจนถึงการพยากรณ์ผลผลิตและความทนทานต่อภูมิอากาศ ช่วยลดเวลาและต้นทุนการวิจัย พร้อมปูทางสู่ เกษตรอัจฉริยะ ที่ยั่งยืน
สำหรับ ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยไบโอเทค สวทช.ได้พูดถึง “สารชีวภัณฑ์เพื่อจัดการแปลงนาอย่างยั่งยืน” ชี้ให้เห็นว่าการใช้จุลินทรีย์และสารชีวภัณฑ์ทดแทนสารเคมี เพื่อฟื้นฟูดิน เพิ่มผลผลิต และรักษาสมดุลระบบนิเวศ
จากห้องแล็บสู่แปลงนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชน

เมื่อเทคโนโลยีเริ่มไหลเข้าสู่ทุ่งนา วิทยาศาสตร์เริ่มพูดภาษาเดียวกับชาวนา และโลกเริ่มให้คุณค่ากับความยั่งยืนมากกว่าราคาตลาด ข้าวไทย กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่แต่ละเมล็ดข้าวไม่ได้มีแค่กลิ่นหอม แต่มีเรื่องราวของนวัตกรรม แรงบันดาลใจ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนอยู่ในนั้น ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว การทำงานร่วมกับเกษตรกร การสาธิตภาคสนาม และการจัดงานแบบ National Rice Field Day ช่วยให้เกษตรกรเห็นผลจริงบนแปลงนาของตัวเองก่อนนำมาใช้จริง ทำให้การยอมรับเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการลองพันธุ์ใหม่ ๆ

งาน “NSTDA–KU Rice Field Day 2025” ถือเป็นตัวอย่างของการบูรณาการระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคการผลิต ที่นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างผลลัพธ์จริงให้ประเทศ ทั้งด้านรายได้ เกษตรยั่งยืน และความมั่นคงทางอาหาร สอดคล้องกับพันธกิจของสวทช.ในการ “สร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Empowering the Nation through Science and Technology)” เพื่อให้ทุกผลงานวิจัยของไทยกลายเป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตผู้คน และขับเคลื่อนอนาคตเกษตรกรรมไทยให้ยั่งยืนบนฐานของนวัตกรรม
ดังนั้น ทุกครั้งที่ตักข้าวขึ้นมาทาน ลองคิดดูสิ... ว่าเมล็ดข้าวในจานคุณ อาจเป็นผลลัพธ์ของเทคโนโลยีล้ำยุคที่ทำให้อนาคตการเกษตรไทย “หอมไกล” ไปกว่าที่เคย