Last updated: 9 ต.ค. 2568 | 124 จำนวนผู้เข้าชม |
ในโลกที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญแรงกดดันจากปัญหาโลกร้อนและการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัด “เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)” จึงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่คือ “ทางรอด” ของภาคอุตสาหกรรมไทย
ล่าสุด กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จับมือศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดสัมมนาใหญ่ “Driving Innovation and Sustainability with Circular Economy Design” เผยผลลัพธ์จากโครงการ Design for Circular Economy (DE4CE) ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกให้ภาคอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่การผลิตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ภายในงาน “Driving Innovation and Sustainability with Circular Economy Design” กพร. และเอ็มเทคเผยว่า การปรับกระบวนการผลิตตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนของผู้ประกอบการต้นแบบ 6 ราย ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 5,815 ตันต่อปี และสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 145 ล้านบาทต่อปี จากทั้งการลดต้นทุนวัตถุดิบ การเพิ่มอายุการใช้งานของวัสดุ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถรีไซเคิลหรือใช้ซ้ำได้
ยกระดับ “การออกแบบ” ให้เป็นหัวใจของความยั่งยืน
ดร. กิตติพันธุ์ บางยี่ขัน ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง กพร. เปิดเผยว่าโครงการนี้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 65 โดยในปี 68 นี้ “เราไม่ได้มองเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนแค่ในมิติสิ่งแวดล้อม แต่คือการออกแบบใหม่ตั้งแต่ต้นทาง ให้การใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุดทุกขั้นตอนให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบแก่ภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่วัสดุ ผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการจัดการปลายทาง” กพร. ตั้งเป้าให้ผู้ประกอบการไทยเห็นว่า Circular Design ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม
เทคโนโลยีคือเครื่องมือเปลี่ยน “ขยะ” ให้กลายเป็น “คุณค่า”
รศ.ดร. เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า “หัวใจของ Circular Economy คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาออกแบบใหม่ให้ทุกสิ่งหมุนเวียนได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCA) การใช้วัสดุรีไซเคิลในกระบวนการผลิต หรือการวัดคาร์บอนฟุตพรินต์ด้วยระบบดิจิทัล”
เอ็มเทคได้ทำงานร่วมกับผู้ประกอบการต้นแบบ 6 รายในโครงการนี้ เพื่อวางแผนการปรับกระบวนการผลิตอย่างละเอียด ตั้งแต่การเลือกวัสดุที่เหมาะสม ไปจนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
เศรษฐกิจหมุนเวียน ลดของเสียกว่า 80% – สร้างมูลค่าเพิ่ม 145 ล้านบาทต่อปี
ด้าน ดร.อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เผยถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy: CE) ภายใต้โมเดล BCG โดยมุ่งใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดของเสีย และสร้างระบบผลิตที่ยั่งยืน กพร. ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลตั้งแต่ปี 2561 พัฒนาแล้วกว่า 87 เทคโนโลยี ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ผู้ประกอบการกว่า 150 รายต่อปี พร้อมขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบการผลิตจนถึงการมอบรางวัลต้นแบบอุตสาหกรรมยั่งยืน
สำหรับการสัมมนาปีนี้ กพร. ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. โชว์ผลงานความสำเร็จของผู้ประกอบการต้นแบบ 6 ราย ที่นำแนวคิด CE มาปรับใช้จริง ลดของเสียได้มากกว่า 80% สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 145 ล้านบาทต่อปีและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 5,815 ตันต่อปี ตัวอย่างความสำเร็จจากผู้ประกอบการต้นแบบ 6 รายดังนี้
วัลคัว อินดัสตรีส์ฯ ลดการสูญเสียวัตถุดิบในกระบวนการผลิตปะเก็นยาง
ยูเนี่ยน เจ. พลัสฯ ปรับระบบล้างฟิล์มพลาสติก ลดเจลขนาดใหญ่ 30%
อูเบะ เทคนิคอลฯ ใช้ Machine Learning จัดการไนลอนรีไซเคิล
ถิรไทยฯ พัฒนา “หม้อแปลงวัฏจักรใหม่” แนวคิด Remanufacturing
ไร้ท์รีแอคติเวชั่นฯ สร้างโซลูชัน “Right Waste” ฟื้นฟูถ่านกัมมันต์ลดทรัพยากรใหม่ 60%
ริโก้ฯ พัฒนาระบบคัดแยกชิ้นส่วนเครื่องถ่ายเอกสาร ลดของเสียเหลือไม่ถึง 10%
ความร่วมมือดังกล่าวตลอด 4 ปี ช่วยให้อุตสาหกรรมไทยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ตอกย้ำว่าธุรกิจไทยสามารถ “เติบโตไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อม” ตามเป้าหมาย Carbon Neutrality และโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้จริง.
จุดเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนไทย
ผลสำเร็จของโครงการ DE4CE จึงไม่เพียงสะท้อนการทำงานเชิงเทคนิคของหน่วยงานรัฐและสถาบันวิจัย แต่ยังแสดงให้เห็นว่า “ความร่วมมือ” คือหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างแท้จริง
ประเทศไทยอาจยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ Circular Economy แต่ทิศทางนี้กำลังชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อภาคอุตสาหกรรมเริ่มเห็นว่า “การออกแบบเพื่อความยั่งยืน” ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ มันคือ อนาคตของเศรษฐกิจไทย