Last updated: 25 ก.ค. 2568 | 55 จำนวนผู้เข้าชม |
ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและทิศทางตลาดชะลอตัว ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลกับราคาวัตถุดิบภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงค่าเงิน ส่งผลให้บริษัททั่วโลกมุ่งไปสู่ธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน หรือ ESG เป้าหมายเดียวกันคือ "Net Zero" และการดำเนินงานตามกรอบมาตรฐาน อีกทั้งพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่า ราคาเหมาะสม โปรโมชั่นโดนใจ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความท้าทายให้กับธุรกิจ เช่นเดียวกับบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารที่อยู่คู่คนไทยมานานถึง 65 ปี ได้เตรียมแผนการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายอิชิโระ ซะกะกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทได้เตรียมแผนกลยุทธ์การตลาดในปี 2025 ด้วยการเน้น 3 ยุทธศาสตร์หลักเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ดังนี้ 1.ขยายตลาดและสร้างการเติบโต ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างตรงจุด ชูไลฟ์สไตล์ “กินดี มีสุข” ปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้เป็นมิตรเข้าถึงง่าย โดยใช้ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะสร้างประสบการณ์ความสนุกและความอร่อยในการทำอาหาร
นอกจากนี้ ยังสร้างสุขภาพที่ดีให้แก่นักชิม ปรับการสื่อสารกาแฟเบอร์ดี้ให้ทันสมัยเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์หมวดอาหารแช่แข็งสไตล์ญี่ปุ่นที่กินง่ายและดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน แบบ Ready-to-eat เจาะกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบันที่ชีวิตเร่งรีบ แต่ยังใส่ใจสุขภาพ รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดอะมิโน ที่ใช้นวัตกรรมจาก “AminoScience” เพื่อตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของคนทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ กลุ่มคนที่รักการเล่นกีฬา หรือผู้ที่ใส่ใจด้านสุขภาพและความงาม ด้านเซอร์วิส ส่ง “แอพพลิเคชัน i-LiveWell แพลตฟอร์มกินดีมีสุขฉบับมนุษย์เงินเดือน ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรเข้าร่วมประมาณ 5 ราย และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 10 รายภายในปีนี้
ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ 2.หนุนโภชนาการกีฬาให้กับกองทัพนักกีฬา และคนไทย สานต่อโครงการ Thailand Victory Project ปีที่ 7 ผ่านการสนับสนุนกีฬาซีเกมส์ 2025 ต่อยอดความเชี่ยวชาญในการดูแลโภชนาการกีฬาและจุดแข็งด้าน “AminoScience” จากญี่ปุ่นสู่ไทย มาประยุกต์ใช้ในการสนับสนุนมื้ออาหารแห่งชัยชนะ (Winning Meals® Kachimeshi) ซึ่งเป็นแผนโภชนาการกีฬาที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมศักยภาพให้กับนักกีฬาทีมชาติไทย ควบคู่กับผลิตภัณฑ์เจลพลังงานอะมิโนไวทัลที่อุดมด้วยกรดอะมิโน นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัว Ajinomoto Victory Canteen ซึ่งเป็นการปรับลุคใหม่ให้กับห้องอาหารของนักกีฬา นำเสนอโภชนาการที่ดี และพื้นที่กิจกรรมสำหรับพัฒนาศักยภาพและปลดล็อคพลังแห่งชัยชนะของกองทัพนักกีฬาไทย
สำหรับยุทธศาสตร์ที่ 3.การใช้เทคโนโลยี Farm AI ลดคาร์บอนสร้างความยั่งยืน ตั้งเป้าลดใช้คาร์บอน พร้อมเพิ่มปริมาณการตรวจสอบกลับ (traceability) จากโครงการ “Thai Farmer Better Life Partner” ขึ้นเป็น 45,000 ตัน หรือประมาณ 30% โดยมีแอพพลิเคชัน Farm AI เป็นเครื่องมือใหม่ที่จะเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพในการตรวจสอบกลับการดำเนินงานในระบบ ecosystem พร้อมเดินหน้าโมเดล Ajinomoto FD Green one-stop service ด้วยการสร้างเครือข่าย
เพื่อการเกษตรกับพาร์ทเนอร์อย่างครบวงจร ผ่านการใช้เทคโนโลยีในการยกระดับการเกษตร เพิ่มผลผลิตและให้ความรู้แก่เกษตรกรมันสำปะหลังและกาแฟเพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ ควบคู่กับการลดคาร์บอนตามเป้าหมายใน Scope 3
ขณะที่ ภาพรวมบริษัทในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการ 32,663 ล้านบาท และอยู่ในอันดับที่ 6 ในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตอาหาร จากเดิมที่อยู่อันดับ 8 ในปี 2023 โดยกลุ่มนวัตกรรมอาหาร มีผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้หลักและครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุดคือ ผงชูรสอายิโนะโมะโต๊ะ 90%, รสดี 80%, และกาแฟกระป๋องเบอร์ดี้ 50% ส่วนกลุ่มที่มีอัตราเติบโตที่โดดเด่น คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกรดอะมิโน 30% และอาหารแช่แข็ง 80% (ตัวเลขโดยประมาณ)
นายอิชิโระ กล่าวต่อว่า ด้านความยั่งยืนบริษัทประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย การลดคาร์บอน 92% สำหรับ Scope 1 และ 2 และยังบรรลุเป้าหมายด้านการลดของเสียจากอาหารที่ 82% (1,600 ตัน) ลดการใช้น้ำ 92% และยังจัดทำแคมเปญ Upcycling เก็บกลับพลาสติกได้กว่า 1.5 ล้านชิ้น ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย การปรับเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์มสำหรับพนักงานขายและพนักงานโรงงานเป็นเสื้อทีเชิ้ตได้ 9,000 ตัว จากการใช้ขวดพลาสติกรีไซเคิล 1.8 แสนขวด รวมถึงการติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ได้ประมาณ 100% ที่โรงงานผลิต