Last updated: 24 ส.ค. 2568 | 387 จำนวนผู้เข้าชม |
สวทช. – SOS ผนึกกำลัง สร้างเมืองต้นแบบจัดการอาหารส่วนเกิน ลดขยะ สร้างความมั่นคงทางอาหาร
ที่นครสวรรค์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา สวทช. จับมือมูลนิธิ SOS และเครือข่ายภาครัฐ–เอกชน เปิดตัวโครงการ “ชุมชนรักษ์อาหาร” ขยายผลแนวทางการจัดการอาหารส่วนเกินสู่พื้นที่จริง โดยชวนคนในชุมชนกว่า 70 คน ร่วมวงพูดคุยตั้งแต่โรงเรียน วัด จนถึงอาสาสมัครพัฒนาสังคมจาก 15 อำเภอ เพื่อหาทางออกให้ “อาหารส่วนเกิน” ไม่กลายเป็นขยะ แต่กลายเป็นพลังช่วยเหลือผู้ขาดแคลนแทน
ไฮไลต์ของงาน คือการเปิดรับสมัคร “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญ เชื่อมโยงระหว่างผู้บริจาคและผู้รับอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ขณะเดียวกันยังมีการเล่าประสบการณ์ตรงจากอาสาสมัครรุ่นพี่ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การช่วยส่งต่ออาหารไม่ใช่แค่ลดขยะ แต่คือการสร้างคุณค่าชีวิตให้ผู้คนในชุมชน
โครงการนี้เป็นความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญ สวทช. ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงพื้นที่จริง ทั้งระบบดิจิทัล Matching ผู้บริจาค–ผู้รับ มาตรฐานความปลอดภัยอาหาร และฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ เพื่อยืนยันว่า “อาหารที่ถูกส่งต่อไม่เพียงอิ่มท้อง แต่ยังปลอดภัย และช่วยโลกได้ด้วย”
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ที่ปรึกษาโครงการ ระบุว่าการประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการจัดการอาหารที่เข้มแข็ง โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคม (อพม.) และเครือข่ายจิตอาสาในพื้นที่เข้าร่วมเรียนรู้ขั้นตอนการเป็น “อาสาสมัครรักษ์อาหาร” ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างผู้ให้อาหารกับผู้รับอาหาร เพื่อให้การส่งต่อเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และลดการสูญเสียอาหารที่ยังมีคุณภาพดี
ขณะเดียวกัน ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าโครงการจาก สวทช. กล่าวถึงการดำเนินโครงการจัดตั้ง “ธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank)” ที่จะทำหน้าที่บริหารจัดการอาหารส่วนเกินอย่างเป็นระบบ อาหารที่ยังปลอดภัยและมีคุณภาพจะถูกนำไปส่งต่อให้กับผู้เปราะบาง เช่น ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง
สวทช. ยังผนึกกำลังศูนย์วิจัยในสังกัดร่วมสนับสนุน ได้แก่ ไบโอเทค ที่วิจัยมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยของอาหารบริจาค, เนคเทค ที่พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจับคู่ผู้ให้-ผู้รับและบันทึกข้อมูลการบริจาค และเอ็มเทค ที่จัดทำฐานข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ของอาหาร เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสอดรับกับนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศ
โครงการนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ไม่เพียงแก้ปัญหาขยะอาหาร แต่ยังช่วยบรรเทาความไม่มั่นคงทางอาหาร พร้อมสร้างแรงบันดาลใจจากอาสาสมัครในพื้นที่ให้ร่วมกันขับเคลื่อนสังคมที่ยั่งยืน.
ในโอกาสนี้ ทีมงานยังร่วมกับจังหวัดนครสวรรค์จัดเลี้ยง ไก่ทอดและสาคูเปียกข้าวโพดกว่า 300 ชุด แก่นักเรียนโรงเรียนนครสวรรค์ปัญญานุกูล ภายใต้โครงการน้ำพระทัยพระราชทานฯ โดยใช้วัตถุดิบจากการกอบกู้อาหารส่วนเกินในพื้นที่จริง
นครสวรรค์จึงกลายเป็นต้นแบบเมืองแรกที่ขับเคลื่อนโมเดล Local Food Rescue แบบครบวงจร เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ก่อนจะขยายผลสู่จังหวัดอื่นทั่วประเทศ เพื่อสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และส่งต่อความอิ่มอย่างเท่าเทียม