โรคติดเชื้อดื้อยา ฆาตกรเงียบ ที่กำลังคร่าชีวิตคนไทยเร็วกว่าโรคทั่วไปหลายเท่า

Last updated: 24 พ.ย. 2568  |  162 จำนวนผู้เข้าชม  | 

โรคติดเชื้อดื้อยา   ฆาตกรเงียบ ที่กำลังคร่าชีวิตคนไทยเร็วกว่าโรคทั่วไปหลายเท่า

ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ ไทยเผชิญความเสี่ยงวิกฤต    โรคติดเชื้อดื้อยา  แนะรัฐร่วมกันสร้างมุมมองใหม่ด้านการใช้ยาในสังคมไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากหลายด้าน ทั้งโรคเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น ประชากรสูงวัย พฤติกรรมใช้ยาที่ผิดวิธี และเทคโนโลยีสุขภาพที่ก้าวหน้า ทำให้รูปแบบ “การใช้ยา” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  เมื่อเร็วๆนี้มีโอกาสได้ไปรับฟังการเสวนาวิชาการโครงการ  “ดื้อยาหยุดได้ “ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  คณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (สยส) และภาคเอกชน ซึ่งเชิญหมอผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์   เภสัชศาสตร์   นิเทศศาสตร์ และบริษัทเจซี แอนด์โค คอมมิวนิเคชั่น มาแลกเปลี่ยนมุมมองและข้อมูลเชิงลึก โดยเน้นย้ำการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล พร้อมสร้างความเข้าใจด้านสุขภาพให้ประชาชนอย่างถูกต้องยั่งยืน


เชื้อดื้อยาคืออะไร

คือภาวะที่เชื้อโรค  โดยเฉพาะ แบคทีเรีย ปรับตัวจน ยาเดิมที่เคยฆ่ามันได้กลับใช้ไม่ได้ผล อีกต่อไป ทำให้การรักษายากขึ้น อาการหนักขึ้น และบางครั้งอาจถึงชีวิตได้

ทำไมต้องรู้? เพราะใช้ยาผิด…อาจสร้างเชื้อดื้อยาโดยไม่รู้ตัว

เชื้อแบคทีเรียคืออะไร  เชื้อแบคทีเรียเป็นจุลชีพขนาดเล็กที่อยู่ทั่วร่างกายเราและสิ่งแวดล้อม บางชนิด harmless แต่บางชนิดทำให้เกิดโรค เช่น  การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ  ปอดบวม  แผลติดเชื้อ  ไซนัสอักเสบจากแบคทีเรียเวลาเป็นโรคจาก “แบคทีเรีย” เท่านั้น ถึงจะต้องใช้ ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)  เพราะฉะนั้น ยาปฏิชีวนะรักษาแบคทีเรียเท่านั้นไม่สามารถรักษาไวรัสได้ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โควิด หรือเริมได้

ดังนั้นการใช้ยาให้ตรงกับโรคและเชื้อที่ได้รับเพราะ “เชื้อแต่ละชนิด ใช้ยาคนละแบบ” หากเราใช้ผิดกลุ่ม เช่นเป็นหวัดจากไวรัส แต่กินยาปฏิชีวนะ ยาไม่ช่วยทำให้อาการดีขึ้นแต่จะเพิ่มโอกาสแบคทีเรียดื้อยา  กินยาปฏิชีวนะไม่ครบตามหมอสั่ง เชื้ออาจไม่ถูกฆ่าจนหมด และ “พัฒนาตัวเอง” ให้ดื้อยา  หรือซื้อยากินเองแบบไม่จำเป็น ทำให้เชื้อในร่างกายปรับตัวจนยาไม่ออกฤทธิ์เหมือนเดิม

เชื้อดื้อยาพุ่งไม่หยุด! ไทยป่วย–ตายพุ่ง เหตุใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นยาวนานนับสิบปี


ผศ. นพ. พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส) อธิบายว่าสถานการณ์เชื้อดื้อยาในไทยรุนแรงต่อเนื่องกว่า 10 ปี สาเหตุหลักมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะผิดวิธีทั้งจากประชาชนและบุคลากรแพทย์เอง จนสร้างแรงกระแทกหนักต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจประเทศ

พฤติกรรมเสี่ยงและผลกระทบที่ทำให้เชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น

เนื่องจากประชาชนวินิจฉัยโรคเอง แล้วซื้อยาปฏิชีวนะมากิน   โดยไม่รู้ความจำเป็นและความต่างของยา   รวมทั้งการเข้าถึงยาปฏิชีวนะง่ายเกินไป สามารถซื้อได้ตามร้านขายยา ร้านชำ  ยันออนไลน์  ผลคือเชื้อดื้อยาทุกชนิดพุ่งสูง โดยเฉพาะ Amoxicillin ดื้อสูงถึง 83% จนยาไม่ออกฤทธิ์เต็มที่ สิ่งเหล่านี้สร้างผลกระทบหนักต่อประเทศ

ทำให้การรักษาโรคติดเชื้อยากขึ้น ซับซ้อนขึ้น  ต้องใช้ยาราคาแพงหลายเท่า  ประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายจากเชื้อดื้อยาร่วม 40,000 ล้านบาทต่อปี  ส่งผลให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระ เตียงไม่พอ การรักษายืดเยื้อ   ที่สำคัญคนไทยติดเชื้อดื้อยาประมาณ 88,000 คน/ปี และเสียชีวิตกว่า 38,000 คน/ปี

ผศ. นพ.พิสนธิ์ ย้ำว่า ทางรอดคือ สร้างความตระหนักรู้ประชาชน ให้ใช้ยาถูกต้อง และให้บุคลากรแพทย์ ใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล พร้อมเดินหน้ามาตรการ AMS ในทุกโรงพยาบาลและร้านยาอย่างจริงจัง

อีกหนึ่งมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญในวงเสวนา


ผศ. เภสัชกร ดร.กิติยศ ยศสมบัติ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เตือนว่า “เชื้อดื้อยา” ไม่ใช่ปัญหาของผู้ป่วยเท่านั้น แต่เป็นวิกฤตสุขภาพระดับโลกที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างผิดวิธีในทุกมิติ ไม่ว่าจะในคน สัตว์ อาหาร น้ำ หรือสิ่งแวดล้อมและระบบอาหาร ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นองค์ประกอบของแนวคิด One Health ที่เน้นว่าการควบคุมเชื้อดื้อยาจะสำเร็จได้ ต้องทำงานแบบบูรณาการทุกภาคส่วน และต้องเริ่มจากความเข้าใจว่า “ยาปฏิชีวนะมีการกระจายอยู่ในชีวิตเราแทบทุกมิติ”  ประเทศไทยยิ่งเผชิญความเสี่ยงจากการเข้าถึงยาปฏิชีวนะที่ง่าย ความเข้าใจผิด และการใช้ยาเกินจำเป็นทั้งในชุมชนและโรงพยาบาล เช่น ความเชื่อว่า “ท้องเสียต้องกินยาฆ่าเชื้อ” หรือ “เจ็บคอต้องได้ยาแรง” รวมถึงแรงกดดันจากผู้ป่วยที่อยากได้ยาเร็ว ทำให้ยาแรงถูกใช้พร่ำเพรื่อจนเสียประโยชน์ในระยะยาว

ดร.กิติยศย้ำว่า การหยุดเชื้อดื้อยาต้องเริ่มจากการสื่อสารที่เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ และทำให้คนไทยมีความเข้าใจ กล้าตั้งคำถามเรื่องยา เช่น

– “ยานี้จำเป็นไหม”

– “มีวิธีรักษาอื่นได้หรือไม่”

– “ใช้ยังไงให้ปลอดภัย” 

พร้อมรู้จักสังเกตอาการตัวเองว่าโรคใดไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ  และมองว่า “การไม่ใช้ยาฆ่าเชื้อพร่ำเพรื่อ” คือความรู้ ความรับผิดชอบ และความปลอดภัยของทุกคนในสังคม.นี่คือหัวใจของการสร้าง ‘Empowerment’ ที่ทำให้ประชาชนไม่ใช่เพียงผู้รับข้อมูลแบบ Passive แต่เป็นผู้ตัดสินใจด้านสุขภาพด้วยความเข้าใจและเหตุผลอย่างแท้จริง

ปลดล๊อคและสร้างการเปลี่ยนแปลง 

ผศ. ดร.ธีรดา จงกลรัตนาภรณ์ จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ชี้ว่า การสื่อสารคือหัวใจสำคัญที่จะทำให้คนไทยรู้ว่า “เชื้อดื้อยา” คือภัยใกล้ตัว ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด แต่วันนี้สังคมไทยกำลังเผชิญสองแรงปะทะคือความตื่นตัวด้านสุขภาพหลังโควิด และความตื่นตระหนกจากข้อมูลผิด ๆ ที่ถูกแชร์ซ้ำจนกลบข้อมูลวิชาการที่ถูกต้อง  ด้วยแรงเหวี่ยงของสองด้านนี้ ทำให้การสื่อสารเรื่องยาและสุขภาพมีความท้าทาย การให้ความรู้แบบเดิม ๆ จึงไม่พออีกต่อไป

ดร.ธีรดาย้ำว่า การสื่อสารยุคนี้ต้องเป็น Two-way Communication  ไม่ใช่แค่บอก แต่ต้องชวนให้คนตั้งคำถาม คิดตาม และพูดคุยอย่างเท่าเทียม ใช้ภาษาที่เป็นมิตร ไม่ตัดสิน ไม่ทำให้รู้สึกผิด เพื่อให้ทุกคนเปิดใจรับสารสำคัญเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล    สาระหลักคือ การสร้าง “บทสนทนา” มากกว่าการ “สั่งสอน” เพราะเมื่อประชาชนรู้สึกว่าได้รับข้อมูลที่เข้าใจง่าย เชื่อถือได้ และเคารพความคิดของเขา โอกาสที่จะนำความรู้ไปปรับใช้จริงเพื่อหยุดปัญหาเชื้อดื้อยาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีพลัง.


ด้าน นายณภัทร กาญจนะจัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด กล่าวว่า ในยุคที่ข้อมูลด้านสุขภาพหลั่งไหลแบบไร้ขีดจำกัดบนโลกออนไลน์ การมี ‘Health Media Literacy’ ให้สังคมตั้งคำถามก่อนเชื่อ จึงเป็นทักษะสำคัญที่ประชาชนทุกคนต้องมีติดตัว เพื่อแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากความเชื่อผิด ๆ หรือข้อมูลที่มีเจตนาชวนให้ตื่นตระหนก ทั้งนี้บทบาทของนักประชาสัมพันธ์และเอเจนซี่ด้านการสื่อสาร

ในวันนี้ต้องก้าวข้ามจากเพียงการผลิตคอนเทนต์ แต่ต้องเป็น “ผู้ดูแลระบบนิเวศข้อมูล” ที่ต้องส่งมอบสาร ซึ่งผ่านการตรวจสอบทางวิชาการ และช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคม เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจ

ด้านสุขภาพบนพื้นฐานของเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ เมื่อประชาชนมีภูมิคุ้มกันทางข้อมูล และทุกภาคส่วนตั้งแต่ภาครัฐ ภาควิชาการ สื่อ ไปจนถึงผู้ผลิตคอนเทนต์ ร่วมกันยกระดับมาตรฐานการสื่อสารด้านสุขภาพร่วมกัน ปัญหาเชื้อดื้อยาจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นวิกฤตที่สังคมไทยสามารถรับมือและลดความสูญเสียได้ในระยะยาว

สำหรับโครงการ “ดื้อยาหยุดได้” จัดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาภัยเงียบจากเชื้อดื้อยา ซึ่งเป็นวาระสำคัญด้านสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการรับรู้ในระดับสังคม ผ่านการถ่ายทอดข้อเท็จจริงจากบุคลากรทางการแพทย์ นักวิชาการด้านสาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร พร้อมถอดบทเรียนที่สามารถนำไปสู่การพัฒนานโยบายและการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในอนาคต นอกจากการจัด “เสวนาวิชาการ ดื้อยาหยุดได้ ภายใต้หัวข้อ หยุดดื้อยา หยุดท้าทายระบบ สื่อสารมุมมองใหม่การใช้ยาให้คนไทย” แล้ว ทางโครงการยังเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปลุกให้สังคมตื่นรู้และร่วมกันแก้ไขปัญหาเชื้อดื้อยา ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลและเนื้อหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ กินยาสมเหตุ หายโรคสมผล ทุกคนสมใจ  https://www.facebook.com/pillproperly

ที่อยากฝากไว้!   การรู้จัก “เชื้อแบคทีเรีย” และการใช้ยาให้ตรงโรค คือเกราะป้องกันสำคัญที่จะช่วยลดการเกิดเชื้อดื้อยาในสังคมไทย

ยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบทั่วไป และไม่ใช่ยาครอบจักรวาล

ใช้ผิดครั้งเดียว…อาจทำให้เชื้อดื้อยาไปตลอด

 

 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้