Last updated: 30 ก.ย. 2568 | 104 จำนวนผู้เข้าชม |
เป็นที่ทราบกันว่าคดีโฮปเวลล์ถือเป๋นมหากาพย์คดีหนึ่งที่สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมไทยไม่น้อย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อการลงทุนของประเทศ ซึ่งทางบริษัทโฮปเวลล์เองก็ยังคงเดินหน้าต่อกรณีนี้ ในงานแถลงข่าว “ฆ่าโง่..จุดหักเหโฮปเวลล์ : ภัยคุกคามอธิปไตยของชาติ”
นายคอลลิน เวียร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึก ยืนยันว่า ข้อกล่าวหาบริษัทติดสินบน 10,000 ล้านบาทเพื่อล้มคดีนั้นเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง
" เขาย้ำว่า โฮปเวลล์เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สากล ดำเนินงานด้วยความสุจริต โปร่งใส และให้ความเคารพต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างเคร่งครัด “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการติดสินบนใด ๆ ก็ตามที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดสินบน”
ในเวทีเดียวกัน นายสัญญา สถิรบุตร อดีต ส.ส.กทม. และที่ปรึกษาบริษัทฯ เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกว่า กรณีโฮปเวลล์มีความพยายามใช้อำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติแทรกแซง คุกคามอำนาจตุลาการ เพื่อล้มล้างคำพิพากษาศาลที่สิ้นสุดแล้ว
ทั้งนี้ยังยกกรณี คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เมื่อ เม.ย. 2562 ที่สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) คืนเงินลงทุนและค่าตอบแทนแก่โฮปเวลล์ จำนวน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 ตั้งคณะทำงานตรวจสอบกรณีโฮปเวลล์ โดยให้เหตุผลว่าคำพิพากษาดังกล่าวสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่รัฐ
นายสัญญามองว่า คำสั่งนี้เป็น “สารตั้งต้น” ของกระบวนการล้มคำพิพากษา ผ่านการส่งเรื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างสิทธิ์ตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ แต่แท้จริงแล้ว หน่วยงานของรัฐไม่มีสิทธิตามมาตราดังกล่าว อีกทั้งกฎหมายยังระบุชัดว่า เรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินห้ามรับไว้พิจารณา
และย้ำว่า การพยายามดังกล่าวถือเป็น การบ่อนทำลายระบบยุติธรรม และสร้างความไม่มั่นใจต่อนักลงทุน เพราะคำพิพากษาศาลทุกคดีออกในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เมื่อเป็นที่สุดแล้ว ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติต้องปฏิบัติตาม หากมีใครใช้เล่ห์กลล้มล้าง ย่อมน่าสงสัยว่ามีความเคารพต่อพระปรมาภิไธยอยู่หรือไม่
สำหรับโครงการ Bangkok Elevated Road and Train System (BERTS) ระยะทาง 60.1 กม. มูลค่า 80,000 ล้านบาท ได้สัมปทานจากรฟท.และกระทรวงคมนาคมในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534 อายุสัญญา 30 ปี แต่ต่อมารัฐบาลนายชวน หลีกภัย สั่งบอกเลิกสัญญาในปี 2541 อ้างเหตุโครงการล่าช้า
บริษัทโฮปเวลล์จึงร้องอนุญาโตตุลาการ และได้รับคำชี้ขาดให้รัฐชดใช้กว่า 9,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ทว่า รฟท.และกระทรวงคมนาคมยื่นศาลปกครองขอเพิกถอน จนกระทั่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาสุดท้ายเมื่อปี 2562 สั่งให้รัฐคืนเงินแก่โฮปเวลล์รวมกว่า 11,888 ล้านบาทและดอกเบี้ยให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ฯ เนื่องจากสัญญาระหว่างกันได้ยุติลงแล้ว