Last updated: 24 มิ.ย. 2568 | 47 จำนวนผู้เข้าชม |
ในขณะที่โลกกำลังเร่งวิ่งเข้าสู่ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ ประเทศไทยเองก็ไม่ยอมนิ่งเฉย ล่าสุดประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนบนเวทีโลก ว่าจะเป็นมากกว่าผู้ใช้เทคโนโลยี แต่พร้อม “สร้าง” และ “ร่วมกำหนดทิศทาง” ของ AI ไปพร้อมกับชาติชั้นนำ
ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ (พ.ศ. 2565–2570) รัฐบาลไทยวางเป้าหมายใหญ่ว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศจะต้องมี: ผู้ใช้งาน AI อย่างน้อย 10 ล้านคน นักพัฒนา AI กว่า 50,000 คน หน่วยงานรัฐและเอกชน 600 แห่ง ที่ใช้งานเทคโนโลยี AI อย่างเป็นรูปธรรม ตามที่ ETDA วางกรอบพัฒนา AI 2 ปี
ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.)หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กล่าวว่า สำนักงานได้เล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี AI จึงวางกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National Al Program) ระยะ 2 ปี (2569-2570) โดยแบ่งเป็น 4 ข้อหลัก ดังนี้
ทั้งนี้จะเริ่มจากแผนการพัฒนากำลังคน AI จะใช้งบประมาณของรัฐไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท (ไม่รวมงบสนับสนุนจากเอกชน) โดย Al Users บุคลากร IT และ non-IT อย่างน้อย 10,000,000 คน (ปัจจุบันมีประมาณ 1,000,000 คน วางแผนพัฒนาผ่านกลไก Credit Bank) ถัดมาคือ Al Professional อย่างน้อยประมาณ 90,000 คน (ปัจจุบันมีประมาณ 19,000 คน) และ Al Developer ที่จะต้องมี Engineer / Researcher อย่างน้อย 50,000 คน (ปัจจุบันมีประมาณ 18,000 คน)
สำหรับแผนข้อ 2.คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ที่จะสนับสนุน และส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านระบบคลาวด์และการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ให้บริการคลาวด์พัฒนาต่อยอดการให้บริการสู่งานด้านปัญญาประดิษฐ์ทั้งในรูปแบบฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ 3.การพัฒนา Open-source Al Infrastructure, National Data Bank มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งการพัฒนาแพลทฟอร์มแมนโค้ดเปิด และการสร้างคลังข้อมูลกลาง และคลังข้อมูลรายสาขา เพื่อให้นักพัฒนา นวัตกร และนักวิจัยเข้าร่วมใช้ประโยชน์ โดยอาศัยการลงทุนโดยรัฐในมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
ในส่วนของแผนพัฒนาที่ 4.การกระตุ้นมูลค่าเพิ่มจากเทคโนโลยีจากอุตสาหกรรมรายสาขาผ่านโครงการ Incentive ต่าง ๆ ของภาครัฐดังที่เสนอในข้างต้น เพื่อให้ส่งผลต่อการพัฒนาไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ดร.ศักดิ์ ยังกล่าวต่อว่า สำนักงานฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนา AI 2 ข้อหลัก คือ 1.AI Readiness คือการสร้างความพร้อมเชิงโครงสร้างและทรัพยากรมนุษย์ และ2. AI Adoption การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างเป็นรูปธรรมในภาคส่วนสำคัญของประเทศ เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยหัวข้อนี้ได้แบ่งเป็น 3 หัวข้อหลัก ดังนี้ 1.การสาธารณสุข (Healthcare) ส่งเสริมการใช้ AI ในโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉันและวางแผนการรักษา รองรับการเป็นศูนย์กลางการแพทย์ในอาเซี่ยน 2.การท่องเที่ยว (Tourism) ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร และการทำการตลาดเชิงลึก
เวทีโลกเริ่มมองไทย
ล่าสุดในงาน Bangkok AI Week 2025 ที่เพิ่งผ่านไป ภายใต้ธีม “AI Powered Nation” ประเทศไทยไม่เพียงโชว์ผลงานวิจัยและแพลตฟอร์ม AI จากทุกภาคส่วน แต่ยังเปิดเวทีระดมความเห็นระดับนานาชาติในหัวข้อจริยธรรม AI ร่วมกับ UNESCO ด้วย ท่าทีเชิงนโยบายนี้แสดงให้เห็นว่า ไทยกำลังขยับจาก “ผู้ตาม” มาเป็น “ผู้นำร่วม” บนโต๊ะเจรจาโลก ว่าด้วยอนาคตของ AI ที่ยั่งยืนและเท่าเทียม
ปั้นคนไทยให้พร้อมใช้ พร้อมสร้าง
รัฐบาลไทยยังตั้งเป้าเพิ่มกำลังคนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า จะต้องมีบุคลากรด้าน AI, ชิปอัจฉริยะ และรถยนต์ไฟฟ้า รวมกว่า 280,000 คน เพื่อรองรับเศรษฐกิจอนาคต
แนวทางหนึ่งที่น่าสนใจคือการ หักลดหย่อนภาษีถึง 250% สำหรับองค์กรที่ลงทุนอบรมคนในสายงานดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือจูงใจที่ได้ผลเร็วและตรงจุด
ไทยกับบทบาท AI บนเวทีโลก
เมื่อเทคโนโลยี AI คือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 ประเทศไทยกำลังวางหมากกระดานอย่างชาญฉลาด — สร้าง ecosystem พร้อมทั้งคน-โครงสร้าง-กฎหมาย เพื่อให้ประเทศไม่ใช่แค่ตลาดบริโภค AI จากต่างชาติ แต่เป็นผู้เล่นที่พร้อมผลิต สร้าง และส่งออกความคิด AI ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่มันคือ “ยุทธศาสตร์ชาติ” และประเทศไทยกำลังประกาศตัวว่าเราจะไม่พลาดรถไฟขบวนนี้
20 มิ.ย. 2567